My Journal Week 2 - June 19, 2011
สื่งที่เรียนในวันนี้คือการเขียนเว็บไชต์โดยใช้ภาษา Html ซึ่งเป็นคำสั่งที่ใช้สร้างรูปแบบเว็บตามที่ต้องการแต่ในการเขียนนั้นต้องเข้า Notepad ทุกครั้ง การพิมพ์คำสั่งเหล่านี้ก็มีสัญลักษณ์เฉพาะและภาษาเฉพาะ แม้แต่การเว้นวรรคก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งนั้นๆ ลักษณะการใช้ภาษา Html จะเป็นดังนี้
สื่งที่เรียนในวันนี้คือการเขียนเว็บไชต์โดยใช้ภาษา Html ซึ่งเป็นคำสั่งที่ใช้สร้างรูปแบบเว็บตามที่ต้องการแต่ในการเขียนนั้นต้องเข้า Notepad ทุกครั้ง การพิมพ์คำสั่งเหล่านี้ก็มีสัญลักษณ์เฉพาะและภาษาเฉพาะ แม้แต่การเว้นวรรคก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งนั้นๆ ลักษณะการใช้ภาษา Html จะเป็นดังนี้
<html>
<head><title> ICT By Thassanant Unnanantn <title></html>
<frameset rows = 85%,15% border = 0 scrolling = no>
คำสั่งที่เห็นนี้มีเครื่องหมาย <> ปิดหัวท้ายไว้เสมอ ถ้าเริ่มต้นก็ต้องใช้ < จบคำสั่งให้ใช้ > ทุกครั้งเวลาเริ่มเขียนเว็บให้ขึ้นต้นด้วย<html> เสมอ ที่เป็นตัวอย่างนี้ข้างบนเป็นคำสั่งเขียนชื่อเริ่องที่ต้องการเอาไว้บนสุด ส่วนข้างล่างเป็นการกำหนดพื้นที่หน้าเว็บและไม่มีแถบเลื่อน ทำเป็นหน้าเดียวเท่านั้น จากนั้นก็เอารูปมาดาวน์โหลดใส่เข้าไป แต่ก่อนอื่นรูปสามารถแต่งได้ตัดได้ตามแบบที่ต้องการโดยใช้ Photo Impact
มาถึงขั้นที่ทำหน้า Web 1.0จบไปแล้วก็มาเรียนการสร้าง Blog เพื่อใช้ในการแสดงข้อมูลการเรียนรู้และเป็นช่องทางในการติดต่อกันระหว่างเพื่อนๆและอาจารย์ ในการนี้ทุกคนต้องใช้ Blogspotและ Gmail ในการเรียนวันนี้ เรียกได้ว่าสมัครใหม่กันทุกคน พ้นขั้นตอนนี้ไปแล้วก็จะเป็นการตกแต่ง Blog โดยใส่รูปแล้ววางตำแหน่งคอลัมน์ต่างๆให้พอดีกันตามที่อาจารย์แนะนำ จากนั้นก็มาเรียนการใช้ Dream Weaver เพื่อเชื่อมโยงจาก Pirun Web (Web1.0 ที่เพิ่งเริ่มเขียนเสร็จจากภาษา Html ตามอาจารย์) เข้าหา Blog ทั้งของตัวเองและของเพื่อนๆ โดยที่คลิ๊กที่รูปใครก็จะไปเข้า Blog ของคนนั้นได้เลย
สำหรับ Blog นั้น ก็เป็นเหมือนกับ Website ส่วนตัวที่ใครอยากจะเขียนอะไรเพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเองหรือแลกเปลี่ยนความรู้ผ่านทางโลกออนไลน์ก็เข้าไปใช้ได้อย่างเสรีและสามารถเลือก Gadget ต่างๆใส่ไปได้หลายอย่างเพื่อความบันเทิงบ้างเพื่อความไม่เหมือนใครบ้างก็ตามแต่จะใช้กันไป
นอกจากการปฏิบัติจริงแล้ว อาจารย์ยังได้ให้ข้อคิดกับทุกคนอีกด้วยว่า เทคโนโลยีพวกนี้ที่ลองๆทำกันอยู่ที่หน้าจอนี่มันไม่ได้เจตนาสร้างมาเพื่อการศึกษาเลย มันสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์หลักคือการสื่อสาร ส่วนใครจะสื่อสารอะไรและอย่างไรก็แล้วแต่จะว่ากันไป โดยเฉพาะยุคนี้ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา เทคโนโลยีสารสนเทศก็ต้องมีการพัฒนาให้ทันเพื่อรองรับการถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นที่นับวันมีแต่จะมากขึ้นๆและการสื่อสารยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์อยู่ ดังนั้นเราควรตามกระแสโลกให้ทัน ยิ่งในฐานะที่เป็นครู จะทิ้งเทคโนโลยีไม่ได้เลย เราต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไรถึงจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้กับการศึกษาให้ได้ วิธีการก็ไม่ได้ยากอะไร ทุกคนมีเครื่องมือที่จะดึงเข้าหาการศึกษาได้อยู่แล้ว นั่นคือความคิดสร้างสรรค์ ลองคิดดูง่ายๆ เด็กๆยุคนี้โตมาไม่เท่าไรก็ใช้คอมฯเป็นกันแล้วแถมยังเก่งและเรียนได้ไวอีกด้วยแต่ก็เสี่ยงต่อการที่จะไปรับเอาอะไรที่ไม่ดีมาจากโลกออนไลน์ที่มีความเป็นเสรีของข้อมูล ดังนั้นครูก็ต้องตามเทคโนฯให้ทัน ถ้าไม่ทัน เด็กๆก็ยิ่งทิ้งห่างไปทุกทีๆและก็จะสอนเด็กๆไม่ได้ จริงอยู่ว่าผู้ใหญ่ฉลาดกว่าเด็กแน่นอนแต่บทเรียนของเรากับของเด็กๆนั้นต่างกันออกไปตามยุคสมัย
ความคิดเห็นที่มีต่อการเรียน
ในการเรียนวันนี้ถ้าไม่มีอุปสรรคเรื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่มีปัญหาขึ้นมาซะกลางคันก็คงตามอาจารย์มธุรสไปได้ตลอดรอดฝั่งแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณอาจารย์ศุภฤกษ์ ทานาค (ผู้ช่วยอาจารย์มธุรส) และอาจารย์วีระชาติ ภาษีชา (เพื่อนร่วมชั้น) ที่ช่วยให้ผมตามขั้นตอนต่างๆของอาจารย์ทันแม้จะชะงักกับการต้องออกไปชะเง้อมองอยู่หลายครั้งก็ตามว่าอาจารย์พิมพ์ไปตรงไหนแล้ว บางช่วงก็เลยทำเอาอาจารย์วีระชาติไม่ทันไปด้วยเพราะต่างคนต่างถามกันเองเลยงงทั้งคู่และก็หลุดทั้งคู่จริงๆ แต่ก็ได้อาจารย์ศุภฤกษ์มาช่วยทุกที และอาจารย์มธุรสคงสงสารผมน่าดูเพราะกว่าจะได้เรื่องก็นั่งงมกันอยู่นาน ครั้นถ้าจะไม่ย้ายเครื่องก็ไม่ได้ซะด้วย แต่สุดท้ายอะไรๆก็จบลงด้วยความเรียบร้อยและราบรื่นจากการลองผิดลองถูกและความช่วยเหลือคนละเล็กคนละน้อยจากเพื่อนๆร่วมชั้น
จากลักษณะของการใช้เทคโนโลยีในการทำ Web ที่เรียนวันนี้ก็สามารถถอดบทเรียนได้ว่าเทคโนโลยีสอนให้เรามีระบบจริงๆ ทำอะไรก็ต้องมีขั้นตอนที่ละเอียดและชัดเจนและการสั่งการก็ต้องเข้าใจง่าย เพื่องานที่ออกมาจะได้มีคุณภาพ นี่คือสิ่งที่สามารถเอาไปใช้ได้ในการสื่อสารกับผู้อื่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น
จริงๆแล้ว เราไม่จำเป็นต้องลองเทคโนโลยีหรือ Social network ทุกอย่างที่มีในโลกใบนี้ก็ได้และคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะต้องลองไปหมดถึงขนาดนั้น แต่เราต้องปรับความคิดตามให้ทันว่าอะไรมีประโยชน์กับเราจริงๆและจำเป็นจริงๆที่จะทำให้เรามีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้นและทำงานได้ดีขึ้น การวิเคราะห์ให้ได้แบบนี้ก็เท่ากับเป็นการที่เราตามกระแสโลกได้ทันแต่ไม่ได้ตามกระแสเหมือนกับเด็กๆวัยรุ่นที่เห็นอะไรก็อยากมีไว้อวดกัน เห็นอะไรดึงดูดใจและสร้างความสนุกสนานก็ติดไปกับมัน ปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปกับสิ่งเหล่านี้ อย่างนี้เรียกว่าอยู่ใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ความรู้เท่าทันและความรู้ว่าใช้งานอย่างฉลาดเขาใช้กันอย่างไรต่างหากคือการอยู่เหนือกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก